13 ปรัชญา NLP ที่จะทำให้คุณมองโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ย้อนไปเมื่อปี 2017 ตอนที่เริ่มเรียน NLP (Neuro Linguistic Programming) ครูยื่น NLP Presuppositions มาให้อ่าน 23 ข้อ มันเป็นแนวคิด หรือแอมจะเรียกว่า “ปรัชญา NLP”
ตอนนั้นไม่ได้เข้าใจมากนัก ก็ฝึกใช้จากข้อที่พอจะเข้าใจ แต่ตอนนี้เริ่มใช้ศาสตร์นี้เข้าปีที่ 9 แอมพบว่ามุมมองของแอมที่มีต่อแต่ละข้อก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาด้วย แอมสรุปเอา 13 ข้อที่แอมยึดถือ และเอาไว้เตือนใจตัวเองเวลาที่มันเกิดอะไรขึ้นมาแชร์นะคะ
1. The Map is not the Territory.
"แผนที่ ไม่ใช่ดินแดนทั้งหมด"
Map ในที่นี้ คือ มุมมองหรือวิธีคิด ซึ่งทุกคนมี Map เป็นของตัวเอง Map ที่สร้างจากประสบการณ์ ความเชื่อต่างๆ และ Map นี้ ไม่มีใครคนไหนในโลกมีซ้ำกัน และซ้ำกับเราเลยดังนั้น สิ่งที่เรามองเห็นหรือรับรู้ ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่เป็นการตีความจากมุมมองของเราเอง
2. The wisest maps aren't always the most accurate, but the ones that give you the most options.
จาก Map ในข้อ 1 เค้าบอกว่ามุมมองที่ดูฉลาดที่สุด อาจจะไม่ใช่มุมที่ดีสุด หากแต่เป็นมุมที่ให้ทางเลือกกับเราได้มากที่สุดต่างหาก
3. The meaning of the communication is the response I get, regardless of my intention.
ความหมายของการสื่อสารอยู่ที่การตอบสนองที่ได้รับ ไม่ใช่อยู่ที่เจตนาของผู้พูด นั่นทำให้เราต้องฝึกสื่อสารเพื่อให้ผู้รับเข้าใจเจตนาที่แท้จริงนั่นเอง
4. If I'm not getting what I want, I'll change the way I do it.
ถ้าสิ่งที่เราทำยังไม่ได้ผล ยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ ก็แค่เปลี่ยนวิธีการในการทำ
5. There is no failure, only feedback.
เราอาจจะผิดพลาดได้ แต่ “ไม่มีความล้มเหลว” ให้รับฟีดแบค เรียนรู้ และพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม
6. People make the best choices based on their perception of the resources available to them at that moment.
คนเราจะเลือกสิ่งทำสิ่งที่ดีที่สุดตามความเข้าใจ และทรัพยากรที่มีในเวลานั้น นั่นแปลว่าถ้ามันไม่ใช่ ก็กลับไปที่ข้อ 5 เพราะในความเป็นจริง เราไม่สามารถย้อนเวลาได้ และเมื่อเวลาเปลี่ยนวิธีคิดก็เปลี่ยน ทรัพยากรในตอนนั้นก็เปลี่ยน เปิดใจให้กว้าง แล้วเราจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น และเข้าใจคนอื่นมากขึ้นด้วยเช่นกัน
7. There’s a positive intention behind every behavior.
“ทุกพฤติกรรมมีเจตนาที่ดีซ่อนอยู่” ข้อนี้ คือ การฝึกหาเจตนาดีที่แท้จริงในการกระทำ แม้ว่าการกระทำนั้นจะผิดพลาด เลวร้ายขนาดไหน แต่มันก็จะมีเจตนาดีที่ซ่อนอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาดีนั้นมาจากมุมมองของใครต่างหาก
8. Separate the behavior from the intention.
อย่าตัดสินคนจากการกระทำ แต่ให้พิจารณาจากเจตนาที่ซ่อนอยู่ ข้อนี้ก็ไม่ง่ายสำหรับแอม เพราะมันหงุดหงิดดดดเวลาเจอการกระทำที่เราไม่เข้าใจ ซึ่งพอใจเย็นขึ้น มันก็จะกลับไปลิ้งค์กับข้อ 7
9. The mind and body are one.
จิตใจและร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงด้านหนึ่งส่งผลต่ออีกด้านหนึ่งเสมอ ประโยคสั้นๆ นี้ เปลี่ยนชีวิตแอมเหมือนกันนะ เรา Hack สมองได้ด้วยคำพูด เรา Hack ความรู้สึกตัวเองได้ด้วยการเปลี่ยนวิธีการหายใจ ฯลฯ
10. Actions speak louder than words.
การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ดังนั้นแอมจึงนับถือคนที่ Walk the talk และจะรู้สึกเฉยๆ กับคนที่พูดเก่ง แต่ไม่เป็นเนื้อเป็นตัวในสิ่งที่พูด
11. People cannot not influence each other.
คนเรา “ไม่สามารถ” ที่จะไม่ส่งผลกับคนรอบข้างได้ ไม่ว่าคุณจะสื่อสารหรือไม่ คุณจะลงมือทำหรือไม่ ทุกอย่างล้วนส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน
12. I control my mind, so I control my success.
เราสามารถควบคุมความคิดและจิตใจของตัวเอง ดังนั้นเราจึงควบคุมผลลัพธ์ของตัวเองเช่นกัน
13. When I believe it, I will see it.
“ถ้าเราเชื่อ เราจะเห็นมัน” นี่คือการ Hack สมองตัวเองที่ powerful ที่สุดสำหรับแอม เราไม่ต้องรอให้เห็นแล้วค่อยเชื่อ แต่เราสามารถเชื่อในความเป็นไปได้ เราจะเห็นทางที่จะลงมือทำ ก่อนที่เราจะเริ่มทำมันซะอีก
และนี่ก็เป็นปรัชญา NLP 13 ข้อที่แอมเอามาปรับใช้กับชีวิตตัวเอง ใช่ว่าจะไม่โกรธ ไม่โมโห เราก็ยังเป็นคนปกติ แต่มันทำให้เรามีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น คิดอะไรได้มากขึ้นตอนที่สงบลง หรือบางทีก็ทำให้ใจเย็นเร็วขึ้นด้วย 555555
ซึ่งปรัชญาการคิดแบบนี้ กลายเป็นวัคซีนที่แข็งแกร่งให้แอมใช้ชีวิต และผ่านเรื่องราวต่างๆ มาได้ตลอดหลายปีนี้
อ่านแล้วลองตอบ 2 คำถามนี้ดูค่ะ
1. ข้อไหนบ้างที่อ่านแล้วมันเด้งเข้ามาในใจเรา?
2. จะเอาข้อนั้นไปปรับใช้กับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่อย่างไร?
คิดยังไงกับข้อไหน มาพูดคุยกันได้ค่ะ
#ampsjourney #แอมเจอนี่ #amable